วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557

เมืองสาวัตถี

เมืองสาวัตถีมีความเจริญรุ่งเรืองในฐานะเมืองหลวงของแคว้นโกศลมาแต่ก่อนพุทธกาล ในสมัยพุทธกาลเมืองสาวัตถีมีพระเจ้าปเสนทิโกศลปกครอง เมืองสาวัตถีในการปกครองของพระเจ้าปเสนทิโกศลมีความสงบและรุ่งเรืองมาก เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับจำพรรษาที่เมืองแห่งนี้มากที่สุดกว่า 25 พรรษา สาเหตุสำคัญที่พระพุทธเจ้าเลือกเมืองนี้เป็นสถานที่จำพรรษานานที่สุดเพราะว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นพระญาติกับพระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แห่งแคว้นมคธ โดยพระนางเวเทหิอัครมเหสี ของพระเจ้าพิมพิสาร เป็นพระกนิษฐาของพระองค์เอง (พระเจ้ามหาโกศล พระราชบิดาของพระเจ้าปเสนทิโกศล ส่งพระนางเวเทหิไปอภิเษกสมรสกับพระเจ้าพิมพิสาร และมอบเมืองในแคว้นกาสีให้พระเจ้าพิมพิสารเพื่อเป็นของขวัญ ทำให้เมืองสาวัตถีและเมืองราชคฤห์เป็นไมตรีกันจนสิ้นรัชกาลของพระเจ้าพิมพิสาร) ทำให้พระพุทธเจ้าสามารถมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในเมืองสาวัตถีได้สะดวก เพราะพระเจ้าปเสนทิโกศลย่อมมีความเกรงใจในพระศาสดาของพระเจ้าพิมพิสารซึ่งเป็นพระญาติของพระองค์เอง ซึ่งต่อมาคัมภีร์พระพุทธศาสนากล่าวว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลได้สดับพระธรรมเทศนาจนบรรลุเป็นพระโสดาบัน และเป็นองค์อัครพุทธศาสนูปถัมภกที่สำคัญองค์หนึ่ง โดยเป็นพระมหากษัตริย์ที่เป็นสหชาติ[3] (คือเกิดปีเดียวกันกับพระพุทธเจ้า) และมีความรักเคารพและมีความสนิทสนมกับพระพุทธองค์มาก โดยทรงสร้างมหาสังฆารามถวายคือ ราชการามมหาวิหาร ซึ่งความสนิทสนมของพระเจ้าปเสนทิโกศลกับพระพุทธองค์นั้น ปรากฏในหลายเหตุการณ์เช่น ทรงเข้ามาจูบกอดพระบาทของพระพุทธเจ้า (ส่วนใหญ่เหตุการณ์เหล่านี้ได้ถูกบันทึกไว้ใน ธรรมเจดีย์สูตร[4] โดยพระราชดำรัสของพระเจ้าปเสนทิโกศลทั้งพระสูตร แสดงถึงเหตุผลที่พระองค์ทรงรักและเคารพพระพุทธเจ้า โดยเปรียบเทียบกับลัทธิศาสนาอื่นไปด้วย) หรือตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าเคยกล่าวตักเตือนพระเจ้าปเสนทิโกศลว่ากินจุเหมือนหมู[5] ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความสนิทสนมกับพระพุทธองค์ได้อย่างดี และถึงแม้พระเจ้าปเสนทิโกศลจะศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า แต่ทว่าพระองค์ไม่ได้กีดกั้นผู้นับถือศาสนาอื่นแต่อย่างใด และยังคงให้ความอุปถัมภ์บำรุงศาสนาอื่นเป็นอย่างดี
ซากมูลคันธกุฎีสถานที่ประทับของพระพุทธเจ้าที่วัดเชตวันมหาวิหาร
นอกจากนี้ เมืองสาวัตถี มีมหาอุบาสกมหาอุบาสิกาหลายคน เช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี[6]นางวิสาขามหาอุบาสิกา[7] ซึ่งมีความเคารพรักศรัทธาสร้างมหาสังฆารามวัดเชตวันมหาวิหาร (ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี) และวัดบุพพารามมหาวิหาร (ของนางวิสาขา[8]) และให้การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง ด้วยเหตุหลายประการดังกล่าว พระพุทธเจ้าจึงเสด็จมาประทับที่เมืองนี้มากที่สุด โดยมาทรงประทับอยู่ถึง 25 พรรษา โดยแบ่งเป็น 19 พรรษาที่วัดเชตวันมหาวิหาร และอีก 6 พรรษาที่วัดบุพพาราม
เนื่องด้วยพระพุทธองค์ประทับที่เมืองสาวัตถีนานที่สุด จึงทำให้เป็นเมืองที่เกิดพระสูตรมากมาย เช่น มงคลสูตร ธรรมนิยามสูตร รวมไปถึงกาลามสูตร ที่ตรัสแสดง ณ เกสปุตตนิคม ก็อยู่ในอาณาเขตของแคว้นโกศลด้วย
ในช่วงปลายพุทธกาล ได้เกิดเหตุการณ์ที่พระเจ้าอชาตศัตรู ทำปิตุฆาต ปลงพระชนม์พระราชบิดาของพระองค์เอง ทำให้พระนางเวเทหิ อัครมเหสีของพระเจ้าพิมพิสารเสียพระทัยจนสิ้นพระชนม์ตามกันไป พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงกริ้วพระเจ้าอชาตศัตรูมาก จึงสั่งยึดเมืองในแคว้นกาสีที่พระเจ้ามหาโกศลยกให้พระเจ้าพิมพิสารคืน โดยทรงถือว่า ผู้ฆ่าพ่อไม่มีสิทธิ์ได้รับสมบัติพ่อ และได้ทำสงครามกัน ผลัดกันแพ้ชนะ จนสุดท้ายพระเจ้าปเสนทิโกศลชนะ จับพระเจ้าอชาตศัตรูได้ แต่ไม่ประหารชีวิตเพราะเห็นแก่เป็นพระนัดดา แต่สั่งให้สละราชสมบัติแทน และต่อมาก็ทรงให้พระเจ้าอชาตศัตรูกลับไปครองราชสมบัติอีกด้วยคงเห็นพระทัย โดยในครั้งนั้นได้ทรงส่งพระราชธิดาของพระองค์ให้ไปอภิเษกด้วย ทั้งสองแคว้นจึงกลัยมามีสัมพันธไมตรีกันอีกครั้ง ทำให้เมืองสาวัตถีและเมืองราชคฤห์กลับเป็นไมตรีกันจนสิ้นรัชกาลของพระปเสนทิโกศล[9]
ในช่วงปลายรัชกาลพระเจ้าปเสนทิโกศล ถูกพระเจ้าวิฑูฑภะพระราชโอรสของพระองค์เองยึดอำนาจ พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงทรงม้าหนีไปเมืองราชคฤห์กับผู้ตามเสด็จอีกหนึ่งคน โดยหวังให้พระเจ้าอชาตศัตรูช่วยเหลือเพื่อนำราชสมบัติคืน แต่พระองค์เสด็จมาถึงเมืองราชคฤห์ในเวลากลางคืน ไม่สามารถเข้าประตูเมืองได้ ทำให้พระองค์เสด็จสวรรคตในคืนนั้นเองเพราะต้องประทับค้างแรมอยู่ข้างนอกที่มีอากาศหนาว ในขณะที่พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยจากการหลบหนีและมีพระชนม์มากถึง 80 พรรษา เมื่อถึงเวลาเช้าพระเจ้าอชาตศัตรูซึ่งพึ่งทราบข่าวจึงอัญเชิญพระศพไปถวายพระเพลิง

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มหันตภัยน้ำท่วมสมัยพุทธกาล

มหันตภัยน้ำท่วมสมัยพุทธกาลในพระไตรปิฎก : เรื่อง ไตรเทพ ไกรงู / ภาพ ไชยวัฒน์ พุ่มพวง
          "เรือโนอาห์กับน้ำท่วมโลกในยุคโบราณ" เป็นเรื่องราวทุกคนชนทุกเชื้อชาติในโลกนี้รู้เรื่องน้ำท่วม เนื้อหาในส่วนนี้ อ้างอิงมาจากพระธรรมปฐมกาล ซึ่งกล่าวถึงการสร้างเรือของโนอาห์ ตามพระบัญชาของพระเจ้า เพื่อช่วยให้ครอบครัวของโนอาห์ และรักษาพันธุ์สัตว์บนโลกนี้ไว้ นอกจากนี้เหตุการณ์ของเรือโนอาห์ ยังมีกล่าวถึงในพระคัมภีร์อัลกุรอาน ในศาสนาอิสลาม พระคัมภีร์ในศาสนายูดาย รวมทั้งยังมีหลักฐานเรื่องเล่าปรำปรานานาชาติ เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์น้ำท่วมโลกนี้ แตกต่างกันไปในแต่ละชนชาติ อาทิ เรื่องของพระมนูในวรรณกรรมฮินดู

         โดยล่าสุดเป็นข่าวฮือฮาไปทัวโลก คือ "พบซากเรือโนอาห์ในตุรกี" ทั้งนี้ คณะนักสำรวจเผยว่า ซากไม้ที่เชื่อว่าเป็นเรือโนอาห์ที่มีอายุถึง ๔,๘๐๐ ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่คัมภีร์ไบเบิลระบุว่า เรือถูกปล่อยให้ลอยเหนือน้ำท่วมโลก เพื่อรักษาสิ่งมีชีวิตต่างๆ บนเรือไว้
   
        ในทางพุทธศาสนานั้มหันตภัยจากธรรมชาติหลักฐานหนึ่งที่ชาวพุทธควรศึกษาคือ "มหันตภัยโลกในพระไตรปิฎก" ทั้งนี้ พระมหาบูรณะ ชาตเมโธ (ป.ธ.๙) หัวหน้าฝ่ายคัมภีร์พุทธศาสน์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) และเจ้าอาวาสวัดฉิมทายกาวาส บางกอกน้อย กทม. บอกว่า ในพระไตรปิฎกเองมีหลักฐานการเกิดมหันตภัยทางธรรมชาติหลายครั้ง เช่น ระหว่างมีการจารึกพระไตรปิฎกนั้น ชมพูทวีปทั้งหมดประสบภัยแล้งที่ยาวนานหลายปี ผู้คนตายไปจำนวนมาก นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าน่าจะเป็นภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในยุคนั้น และอาจเป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับการเกิดภัยแล้งที่บรรยายไว้ในคัมภีร์ศาสนาอื่นอีก เช่น ศาสนายูดาย หรือพระเวท

        นอกจากนี้แล้ว พระสูตรสั้นๆ อีกพระสูตรหนึ่งในพระไตรปิฎกชื่อว่า สุริยสูตรแสดงพุทธพยากรณ์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับภัยโลกร้อน ซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคต อันที่จริงอาจกล่าวได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นชาวโลกคนแรกที่พูดถึงภัยโลกร้อน ในพุทธพยากรณ์โลกจะร้อนขึ้นทุกปี โดยไม่ทราบสาเหตุจนกระทั่งวันหนึ่งมนุษย์จึงเห็นดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่งปรากฏขึ้นในท้องฟ้า จึงรู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของโลกร้อนนั้นมาจากการเกิดขึ้นของดวงอาทิตย์ดวงใหม่ ความร้อนนั้นมีผลต่อสภาพแวดล้อม และต่อมาเกิดดวงอาทิตย์ดวงที่สาม ดวงที่สี่ เรื่อยไปจนครบเจ็ดดวง เมื่อครบเจ็ดดวงโลกทั้งหมดก็ลุกเป็นไฟ

        พระมหาบูรณะ ยังบอกด้วยว่า สมัยพุทธกาล เมื่อครั้งเกิดอหิวาตกโรค ระบาดที่เมืองเวสาลี ในช่วงเวลานั้นเกิดภัยแล้ง ข้าวกล้าในไร่นาเกิดความเสียหายหนัก ผู้คนอดอยาก และล้มตายเป็นจำนวนมาก ชาวเมืองเวสาลีนำซากศพเหล่านั้นไปทิ้งไว้นอกเมือง ในพระไตรปิฎกกล่าวว่า

        “เพราะกลิ่นซากศพของคนที่ตายทั้งหลาย พวกอมนุษย์ทั้งหลายก็เข้าเมือง ต่อแต่นั้นคนก็ตายมากต่อมาก เพราะความปฏิกูลนั้น อหิวาตกโรคย่อมเกิดขึ้นแก่สัตว์ทั้งหลาย”

        ชาวเมืองเวสาลีช่วยกันค้นหาสาเหตุของทุพภิกขภัยครั้งนี้ ได้กราบทูลพระราชาว่า คงเป็นเพราะพระองค์ไม่ตั้งอยู่ในธรรมกระมัง จึงเกิดทุกข์เข็ญเช่นนี้ พระราชารับสั่งให้ช่วยตรวจสอบว่า พระองค์ไม่ตั้งอยู่ในธรรมข้อใด ประชาชนก็ช่วยกันพิจารณาตรวจสอบแต่ไม่พบข้อบกพร่องแต่อย่างใด ต่อมามีบางพวกเสนอว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้บังเกิดขึ้นแล้ว พระองค์เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ขอได้โปรดกราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระพุทธองค์มาโปรดชาวเมืองเวสาลีด้วยเถิด

        ในขณะนั้นพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เมืองราชคฤห์ และพระเจ้าพิมพิสารทรงอุปัฏฐากพระพุทธองค์อยู่ เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบว่าชาวเมืองเวสาลีได้ทูลอาราธนาพระองค์เสด็จดับทุกข์ให้ จึงทรงรับด้วยทรงทราบชัดว่า

        เมื่อเราแสดงรัตนสูตรในเมืองเวสาลีแล้ว อารักขาจะแผ่ไปตลอดแสนโกฏิจักรวาล ในเวลาจบพระสูตร ธรรมาภิสมัยจักมีแก่สัตว์แปดหมื่นสี่พัน"

        เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปถึงเมืองเวสาลี เกิดฝนตกหนัก เรียกว่า "ฝนโบกขรพรรษ" เป็นฝนพิเศษ เพราะผู้ใดต้องการจะเปียกฝน ก็เปียก ผู้ใดไม่ต้องการเปียก ก็จะไม่เปียก ฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมถึงเข่า ถึงเอว ถึงคอ แล้วน้ำพัดพาเอาซากศพเหล่านั้นลงไปในแม่น้ำคงคาจนหมดสิ้น แผ่นดินก็สะอาดบริสุทธิ์ขึ้น

        ต่อมาพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนอยู่ที่ประตูพระนคร ตรัสเรียกพระอานนท์มาแล้วตรัสสอน "รัตนสูตร" แก่พระอานนท์ แล้วโปรดให้ทำน้ำพระพุทธมนต์ประพรมไปทั่วเมือง ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า

        เพื่อกำจัดอุปัทวะเหล่านั้น ที่ประตูพระนครเวสาลี สวดอยู่เพื่อป้องกัน ใช้บาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าตักน้ำ เที่ยวประพรมอยู่ทั่วพระนคร ก็เมื่อพระเถระกล่าวคำว่า "ยังกิญจิ" เท่านั้น พวกอมนุษย์ทั้งหลายที่อาศัยกองหยากเยื่อ และประเทศแห่งฝาเรือนเป็นต้น ซึ่งยังไม่หนีไปในกาลก่อน ก็พากันหนีไปทางประตูทั้ง ๔ เมื่อพวกอมนุษย์ไปกันแล้ว โรคของมนุษย์ทั้งหลายก็สงบ"


รัตนสูตรบทสวดขจัดภัยพิบัติ



    การสวดรัตนสูตร เป็นบทสวดว่าด้วยรัตนทั้ง ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ สวดเพื่อปัดเป่าอุปัทวันตรายให้หมดไป)มีจุดประสงค์ในการขจัดภัยพิบัติ ๓ ประการ (ตามที่ปรากฎในพระสูตร) ๑. ทุพภิกขภัย คือ ภัยจาก ข้าวยากหมากแพง ๒. อมนุสภัย คือ ภัยจาก ภูตผีปีศาจทำร้าย ๓. โรคภัย คือ ภัยจาก โรคภัยไข้เจ็บ

    แบบย่อ

    ยังกิญจิ วิตตัง อิธะ วา หุรัง วา สะเคสุ วา ยัง ระตะนัง ปะณีตัง นะ โน สะมัง อัตถิ ตะถาคะเตนะอิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

    ขะยัง วิราคัง อะมะตัง ปะณีตัง ยะทัชฌะคา สัก์ยะมุนี สะมาหิโต นะ เตนะ ธัมเมนะ สะมัตถิ กิญจิ อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

     ยัมพุทธะเสฏโฐ ปะริวัณณะยีสุจิงสะมาธิมานันตะริกัญญะมาหุ สะมาธินา เตนะ สะโม นะ วิชชะติอิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตังเอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

    เย ปุคคะลา อัฏฐะ สะตัง ปะสัฏฐา จัตตาริ เอตานิ ยุคานิ โหนติ เต ทักขิเณยยา สุคะตัสสะ สาวะกา เอเตสุ ทินนานิ มะหัปผะลานิ อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

    เย สุปปะยุตตา มะนะสา ทัฬเหนะ นิกกามิโน โคตะมะสาสะนัมหิ เต ปัตติปัตตา อะมะตัง วิคัยหะ ลัทธา มุธา นิพพุติง ภุญชะมานา อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

    ขีณัง ปุราณัง นะวัง นัตถิ สัมภะวัง วิรัตตะจิตตายะติเก ภะวัสมิง เต ขีระพีชา อะวิรุฬหิฉันทา นิพพันติ ธีรา ยะถายัมปะทีโปอิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ 

เมืองต่างๆในสมัยพุทธกาล

ใครที่เคยอ่านพุทธประวัติมาก่อนแบบเราก็พอจะทราบอยู่แล้วใช่มั้ยคะว่าเมืองต่างๆในสมัยพุทธกาล  (สมัยที่พระพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์อยู่)  อยู่ในประเทศเนปาล  อินเดีย  ปากีสถาน  และบังกลาเทศหรือที่ในสมัยโบราณกาลเรียกกันว่า  ชมพูทวีป  แต่มีคนบางคนนั่งเทียนเขียน  (มากจนเสียสติ)  และอ้างว่าเมืองต่างๆในสมัยพุทธกาลอยู่ในบริเวณประเทศไทย  (บ้าเหรอเปล่าวะ)  คนๆนั้นก็  คือ  ดร.ศจ.ชัยยงค์ พรหมวงศ์นั่นเอง  คำกล่าวอ้างนี้  เราเพิ่งหาเจอในเว็บพันทิปเมื่อคืนนี้เองค่ะยกตัวอย่างเช่นเมืองลุมพินี สถานที่ประสูติพระพุทธเจ้า อยู่บริเวณพระธาตุศรีสองรัก จ.เลย
(เมืองลุมพินี เป็นเมืองเล็กๆ อยู่ใกล้ๆเมืองเทวทหะ แคว้นโกลิยะ)

สถานที่ตรัสรู้ อยู่บริเวณพระแท่นศิลาอาสน์ จะมีต้นโพต้นหนึ่ง คุณเธอเอามาเป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า อยู่ใกล้ๆเมืองลับแล จ.อุตรดิตถ์
(สถานที่ตรัสรู้ อยู่ที่แคว้นมคธ(ปัจจุบันคือรัฐพิหาร) ต.คยา เมืองพุทธคยา ประเทศอินเดีย) พระแท่นศิลาอาสน์ มีประวัติเป็นเรื่องเป็นราว คือประวัติสมมติให้เป็นที่ตรัสรู้จริงๆ)

สถานที่ปฐมเทศนา ที่เราทราบกันดีคือบริเวณสารนาถ เรียกสั้นๆว่าสวนกวาง แต่คุณเธอเอาลงมาไว้ที่จ.สระบุรี ที่วัดพระพุทธบาทน้อย ส่วนสวนกวาง ส่วนต.ทับกวาง ที่สระบุรี แกสมมติเอาเป็นสวนกวาง ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ต.สารนาถ ใกล้เมืองพาราณสี แคว้นกาสี(ปัจจุบันคือแคว้นอุตตรประเทศ)อยู่ทางเหนือของอินเดียคับ

ส่วนเมืองกุสินารา คือพระแท่นดงรัง คือที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานครับ พระแท่นดงรัง อยู่จ.กาญจนบุรี ที่นั่นมีสถานที่เป็นเรื่องเป็นราว ทำเลียนแบบที่อินเดียเลยครับ มีสวนนายจุนทะ คนที่ถวายสูกรมัททวะให้พระพุทธเจ้า
(เมืองกุสินารา อยู่ที่แคว้นมัลละ ใกล้ๆแคว้นกาสี ปัจจุบันอยู่เขตแคว้นอุตตรประเทศ)

เมืองตักกสิลา คือที่ๆเหล่าเชื้อพระวงศ์ หรือวรรณะพราหมณ์ไปเรียนคัมภีร์พระเวท และเรียนสอนศาสตร์18ประการ เจ้าชายสิทธัตถะก็เคยเรียนที่นี่ครับ และเรียนไตรเพท(คนที่เรียนจบไตรเพท สมัยนั้นถือว่าเก่งมากๆ เทียบเท่าด๊อกเตอร์) แต่ศจ.ชัยยงค์ แกลงไว้ว่าเมืองตักกสิลา คือจ.ตาก ไม่ใช่ประเทศปากีสถาน(เมืองตักกสิลา เป็นเมืองหลวงแคว้นคันธาระ ประเทศปากีสถาน)

เมืองสาวัตถี เป็นเมืองหลวงแคว้นโกศล ในนิยายที่แกแต่งไว้เป็นตุเป็นตะ เมืองสาวัตถีคือ จ.ขอนแก่น เพราะมีต.นึงชื่อ ต.สาวะถี อยู่ขอนแก่น เลยทำให้แกคิดว่าขอนแก่น คือแคว้นโกศล ต.สาวะถี คือเมืองสาวัตถี
เป็นบ้านเกิดของอนาถบิณฑิกเศรษฐีครับ และเป็นที่ตั้งวัดเชตวัน อารามแห่งแรกของพระพุทธศาสนา

ส่วนเมืองพาราณสี ก็อยู่เขาใหญ่ แต่ก่อนเมืองพาราณสีเป็นป่า ป่าเยอะมากๆ นักบวชเยอะมากๆ เพราะเป็นป่าดง

เขาภูพาน = ป่าหิมพานต์

แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำในภาคอีสานรวมแม่น้ำโขง = แม่น้ำคงคา

จ.ปราจีนบุรี = แคว้นวิเทหะ

ต.ศรีมโหสถ = เมืองมิถิลา เมืองหลวงแคว้นวิเทหะ(ต.ศรีมโหสถ อยู่ จ.ปราจีนบุรี ปรากฎในชาดกเช่น มหาชนกชาดก และ มโหสถชาดก)

เมืองสาเกต อยู่แคว้นโกศล ใกล้ๆเมืองสาวัตถี คือจ.ร้อยเอ็ด

แคว้นกุรุ = อีสานใต้ถึงกัมพูชา เพราะว่า กุรุ แปลว่า ทราย แต่ก่อนบริเวณนี้เป็นทราบ เลนชื่อว่า กุรุ แคว้นนี้ มีเมือง อินทปถะ เป็นเมืองหลวง

กรุงสัญชัย(สญชัย) = อ.ด่านซ้าย จ.เลย เป็นอ.ที่มีงานผีตาโขนครับ ตามพระเวสสันดรกลับเมืองมา เลยคิดว่าด่านซ้าย คือเมืองสญชัยในเวสสันดรชาดก

สุวรรณภูมิ = สุพรรณบุรี

ลังกาทวีป = ภาคใต้ตอนล่าง จรดมลายู